เหรียญปวเรศหรือเหรียญบาตรน้ำมนต์ (เหรียญที่ระลึก มหาสมณุตตมาภิเศก แบบที่ 1) เป็นเหรียญที่หายากยิ่งอีกชุดหนึ่งของวัดบวรนิเวศวิหาร เหรียญนี้สร้างในสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ในหนังสือ "เหรียญที่ระลึก กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325-2525" ที่กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จัดทำขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาโดยสรุปไว้ว่า เหรียญชุดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกใน "พระราชพิธีมหาสมณุตตมาภิเศก" เลื่อนพระอิสริยยศของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ขึ้นเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2434 ดำรงพระยศฝ่ายสมณศักดิ์เจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขต โดยมีการจัดสร้างขึ้น 2 แบบ คือ 1.เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศก แบบ 1 เรียกว่า "เหรียญปวเรศ" หรือ "เหรียญบาตรน้ำมนต์" 2.เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศกแบบ 2 เรียกว่า "เหรียญมือ" เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศก แบบ 1 หรือที่เรียกกันไดยทั่วไปว่า "เหรียญบาตรน้ำมนต์" หรือ "เหรียญปวเรศ" นับว่าเป็นวัตถุมงคลของวัดบวรฯ ที่มีความสำคัญและมีชื่อเสียงเคียงคู่มากับ "พระกริ่งปวเรศ" ทีเดียว เพียงแต่เหรียญปวเรศมีการจัดสร้างจำนวนมากกว่า จึงทำให้สนนราคาค่านิยมลัดหลั่นกันไป อย่างไรก็ตาม การจะหาเหรียญปวเรศสักเหรียญมาครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย หนังสือ "เหรียญที่ระลึก กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2325-2525" หน้า 73 กล่าวถึงเหรียญนี้ไว้ว่า ... เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศก แบบ ๑ ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ ขอบเรียบ ด้านหน้า เป็นรูปอัฐบริขาร พัดยศ และเบญจปฎลเศวตฉัตร (ฉัตรขาว ๕ ชั้น) มีอักษรเป็นภาษามคธว่า "อยํโข สุขิโตโหติ นิทฺทุกฺโข นิรุปทฺทโว อนันตราโย ติฏฺเฐยฺย สพฺพโสตฺถี ภวันฺตุเต" แปลว่า ผู้นี้แลมีความสุข ไร้ความทุกข์ ไร้อุปัทวะ ไม่มีอันตราย พึงดำรงอยู่ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน ด้านหลังมีข้อความว่า "ที่รฤก งาน มหาสมณุตตมาภิเศก พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐" (ด้านบนคำว่า "ศก" มีเลขไทย "๒๔") ชนิดทองแดง ขนาด ส่วนกว้าง ๔๔ มิลลิเมตร ส่วนยาว ๕๕ มิลลิเมตร สร้าง พ.ศ.๒๔๓๔... เหรียญบาตรน้ำมนต์ หรือเหรียญปวเรศนี้ นับเป็นความบรรจงสร้างสรรค์ของช่างผู้ทำแบบแม่พิมพ์ที่สามารถบรรจุเครื่องอัฐบริขาร พัดยศ และเบญจปฎลเศวตฉัตรทั้งหมด ไว้ในเหรียญได้อย่างเหมาะเจาะแลดูสวยงดงามยิ่ง
วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555
เหรียญปวเรศหรือเหรียญบาตรน้ำมนต์
เหรียญปวเรศหรือเหรียญบาตรน้ำมนต์ (เหรียญที่ระลึก มหาสมณุตตมาภิเศก แบบที่ 1) เป็นเหรียญที่หายากยิ่งอีกชุดหนึ่งของวัดบวรนิเวศวิหาร เหรียญนี้สร้างในสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ในหนังสือ "เหรียญที่ระลึก กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325-2525" ที่กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จัดทำขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาโดยสรุปไว้ว่า เหรียญชุดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกใน "พระราชพิธีมหาสมณุตตมาภิเศก" เลื่อนพระอิสริยยศของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ขึ้นเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2434 ดำรงพระยศฝ่ายสมณศักดิ์เจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขต โดยมีการจัดสร้างขึ้น 2 แบบ คือ 1.เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศก แบบ 1 เรียกว่า "เหรียญปวเรศ" หรือ "เหรียญบาตรน้ำมนต์" 2.เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศกแบบ 2 เรียกว่า "เหรียญมือ" เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศก แบบ 1 หรือที่เรียกกันไดยทั่วไปว่า "เหรียญบาตรน้ำมนต์" หรือ "เหรียญปวเรศ" นับว่าเป็นวัตถุมงคลของวัดบวรฯ ที่มีความสำคัญและมีชื่อเสียงเคียงคู่มากับ "พระกริ่งปวเรศ" ทีเดียว เพียงแต่เหรียญปวเรศมีการจัดสร้างจำนวนมากกว่า จึงทำให้สนนราคาค่านิยมลัดหลั่นกันไป อย่างไรก็ตาม การจะหาเหรียญปวเรศสักเหรียญมาครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย หนังสือ "เหรียญที่ระลึก กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2325-2525" หน้า 73 กล่าวถึงเหรียญนี้ไว้ว่า ... เหรียญที่ระลึกมหาสมณุตตมาภิเศก แบบ ๑ ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ ขอบเรียบ ด้านหน้า เป็นรูปอัฐบริขาร พัดยศ และเบญจปฎลเศวตฉัตร (ฉัตรขาว ๕ ชั้น) มีอักษรเป็นภาษามคธว่า "อยํโข สุขิโตโหติ นิทฺทุกฺโข นิรุปทฺทโว อนันตราโย ติฏฺเฐยฺย สพฺพโสตฺถี ภวันฺตุเต" แปลว่า ผู้นี้แลมีความสุข ไร้ความทุกข์ ไร้อุปัทวะ ไม่มีอันตราย พึงดำรงอยู่ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน ด้านหลังมีข้อความว่า "ที่รฤก งาน มหาสมณุตตมาภิเศก พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐" (ด้านบนคำว่า "ศก" มีเลขไทย "๒๔") ชนิดทองแดง ขนาด ส่วนกว้าง ๔๔ มิลลิเมตร ส่วนยาว ๕๕ มิลลิเมตร สร้าง พ.ศ.๒๔๓๔... เหรียญบาตรน้ำมนต์ หรือเหรียญปวเรศนี้ นับเป็นความบรรจงสร้างสรรค์ของช่างผู้ทำแบบแม่พิมพ์ที่สามารถบรรจุเครื่องอัฐบริขาร พัดยศ และเบญจปฎลเศวตฉัตรทั้งหมด ไว้ในเหรียญได้อย่างเหมาะเจาะแลดูสวยงดงามยิ่ง
พระวัดบวรนิเวศวิหาร องค์อื่นๆ
(พระกริ่ง ดูที่ พระกริ่งองค์อื่นๆ)
วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555
พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จังหวัดชลบุรี
พระปิดตาของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จังหวัดชลบุรี ถือว่าเป็นพระปิดตาเนื้อผงยอดนิยมอันดับหนึ่งของจังหวัดชลบุรีหรือจะว่าเป็นพระปิดตาเนื้อผงยอดนิยมสูงสุดของประเทศก็ว่าได้
ประวัติส่วนตัวของหลวงพ่อก้ว ท่านเกิดที่จังหวัดเพชรบุรี ประมาณ พ.ศ. 2346 – พ.ศ. 2351 ในปลายสมัยรัชกาลที่ 1 มรณภาพประมาณ พ.ศ. 2426 – พ.ศ. 2431 ในกลางสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประวัติการสร้างพระ
หลวงพ่อแก้วเป็นคนจังหวัดเพชรบุรี มีผู้ยืนยันว่าท่านมีความสนิทชิดชอบกับหลวงพ่อมี วัดพระทรง จังหวัดเพชรบุรี แต่มีอายุมากกว่าหลายปี ท่านธุดงค์ไปอยู่วัดเครือวัลย์ แขวงบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี แต่ท่านคงไปๆ มาๆ ระหว่างจังหวัดชลบุรี กับ จังหวัดเพชรบุรี มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั้งสองแห่ง
การสร้างพระปิดตาของหลวงพ่อแก้วคงอยู่ในราว พ.ศ. 2400 ถึง 2430 คือหลังการสร้างพระสมเด็จฯ วัดระฆังโฆษิตารามไม่กี่สิบปีมีทั้งพิมพ์มาตรฐาน (พิมพ์หลังแบบ) และพิมพ์ลอยองค์ซึ่งเรียกกันว่า “รุ่นแลกซุง” กล่าวกันว่าท่านมอบพระปิดตาให้แก่ผู้นำซุงมาให้ซึ่งอาจจะเป็นลูกศิษย์แถบจังหวัดชลบุรี หรือชาวบ้านจากจังหวัดเพชรบุรีก็ได้ เพราะมีผู้เคารพนับถือท่านทั้งสองจังหวัด
พิมพ์ทรง
1. พิมพ์มาตรฐาน (เนื้อผงคลุกรัก)
- พระปิดตา หลังแบบ พิมพ์ใหญ่ กลาง เล็ก
- พระปิดตา หลังยันต์ พิมพ์ใหญ่ กลาง เล็ก
- พระปิดตา หลังเรียบ พิมพ์ใหญ่ กลาง เล็ก
เนื้อ เนื้อผงคลุกรัก สีน้ำตาล ละเอียดแบบกะลา บางองค์ลงรักปิดทอง เนื้อผงเป็นผงพระพุทธคุณได้จากการเขียนอักขระผสมว่าน เกสรดอกไม้ ไม้ไก่กุก และวัสดุอาถรรพ์อื่นๆ
2. พิมพ์เนื้อตะกั่ว เป็นพระปิดตา นั่งขัดสมาธิราบ (คล้ายพิมพ์มาตรฐาน) ด้านหลังอูมเล็กน้อย บางองค์มีลงเหล็กจารเนื้อ ชินตะกั่ว
3. พิมพ์ปั้น เป็นรูปพระปิดตาลอยองค์ เนื้อผง เช่นเดียวกับพิมพ์มาตรฐาน เกิดจากการปั้นทีละองค์ รูปร่างจึงแตกต่างกันไป เนื้อ มีทั้งเนื้อน้ำตาล และเนื้อสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เนื้อละเอียด
บทสรุป
พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ เป็นพระบิดาตารุ่นโบราณ เป็นต้นแบบของพระเนื้อผงของจังหวัดชลบุรีอื่นๆ เช่น พระปิดตา หลวงพ่อภู่ วัดนอก พระปิดตาหลวงปู่เจียม วัดกำแพง พระปิดตาหลวงพ่อโต วัดเนินสุธาวาส พระปิดตาหลวงปู่ครีพ วัดสมถะ เป็นต้น
พระปิดตาของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาพระปิดตาเนื้อผงด้วยกัน ซึ่งคงเนื่องมาจากความหายาก และกิตติศัพท์เรื่องอำนวยโชคลาถและเมตตามหานิยม ที่เลื่องลือกันมาหลายชั่วคนแล้ว เท่าที่สังเกตผู้มีพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ (ของแท้) ไว้บูชา ล้วนแต่เป็นบุคคลอยู่ในสังคมชั้นสูงทั้งสิ้น
พระปิดตาพิมพ์กลางหลังแบบ หลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ ด้านหน้า และ ด้านหลัง
พระพิมพ์อื่นๆของ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์
ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง
การสะสมพระเครื่อง แนวทางในการศึกษาพระเครื่อง
กรรมวิธีและวัตถุดิบในการสร้างพระ
กรรมวิธีการสร้างพระ
สามารถจำแนกตามลักษณะของวัตถุดิบในการจัดสร้างเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทพระเครื่อง และ ประเภทเครื่องราง
ประเภทพระเครื่อง
ได้แบ่งการสร้างพระเครื่องออกเป็น
1. การสร้างพระเนื้อดิน
2. การสร้างพระเนื้อชิน
3. การสร้างพระเนื้อผง
4. การสร้างพระเนื้อโลหะ ประเภทพระหล่อ
พระปั้ม พระฉีด
5. การสร้างพระเนื้อว่าน
6. การสร้างพระจากวัสดุอื่นๆ
1. การสร้างพระเนื้อดิน
พระเนื้อดิน นับเป็นพระที่มีอายุการสร้างเก่าแก่ที่สุด
โดยการนำดินอันเป็นวัสดุหาง่าย คงทน มาสร้างสรรค์ปฏิมากรรมได้สะดวก
นอกจากนี้มนุษย์ยังมีความเชื่อ นับถือ ยกย่อง ดินประดุจเทพเจ้าที่ทรงคุณเอนกอนันต์
ในนามของ “แม่พระธรณี” ซึ่งดินที่นำมาสร้างพระล้วนเป็นดินที่นำมาจาก
ศาสนสถานสำคัญ ศักดิ์สิทธิ์ หรือสถานที่เป็นมงคล
ในการนำดินมาสร้างพระทุกครั้ง ต้องมีการทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีแม่พระธรณี
เจ้าที่เจ้าทาง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้สถิตรักษาทุกครั้ง ต้องมีการทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีอภินิหารให้มีต่อพระเครื่องและเครื่องรางที่สร้าง นอกเหนือจากส่วนผสมอื่นๆ
ที่ได้ผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าดีและให้คุณ ที่จะส่งเสริมความเป็นมงคลแก่พระเครื่องและเครื่องรางที่จะสร้าง ความพิถีพิถันในการเสาะหาและเตรียมวัตถุดิบเป็นเรื่องสำคัญมากประการหนึ่งที่ผู้สร้างวัตถุมงคลต่างๆ ให้ความสำคัญและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาช้านาน ด้วยเชื่อว่าพระเครื่องและเครื่องรางที่จะสร้างขึ้นนี้ต้องมีความดีนอกและดีใน ดีในหมายถึงวัตถุดิบที่นำมาสร้างต้องล้วนเป็นของดีมีมงคล ดีนอกหมายถึงต้องผ่านการปลุกเสกอย่างดี
ผ่านพิธีกรรมที่ถูกต้องและเข้มขลัง โดยพระคณาจารย์ผู้เรืองเวทย์วิทยาคุณสูง รวมถึงผู้ทำพิธีอันจะก่อเกิดความเข้มขลังให้กับพระเครื่องและเครื่องรางที่ผ่านขั้นตอนที่สำคัญนี้แล้ว
ดังนั้น
เป็นความเชื่อถือที่ยึดมั่นกันมาแต่ครั้งโบราณว่า “พระเครื่องและเครื่องรางของขลังที่ดีจริง
ต้องดีนอก ดีใน คือ วัตถุที่นำมาสร้างต้องล้วนเป็นของงดี
ผู้สร้างต้องดีพร้อม และผ่านพิธีกรรมที่ดี” จากจุดนี้เราจึงเข้าใจว่าเหตุใด พระเครื่องและเครื่องรางของขลังจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ พระทุกประเภททุกเนื้อเครื่องรางทุกชนิด ล้วนเห็นข้อพึงปฏิบัติในการสร้างวัตถุมงคลนี้ โดยมีกฎเหล็กที่พึงต้องกระทำอย่างเคร่งครัด
เมื่อได้วัตถุดิบที่ต้องประสงค์แล้ว ก็จะนำวัตถุดิบต่างๆมาผสมคลุกเคล้ากัน
โดยมีดินเป็นมวลสารหลัก ในการยึดประสานมวลสารต่างๆให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
จากนั้น จึงนำส่วนผสมไปกดลงในแม่พิมพ์ที่แกะเค้าโครงรูปร่างของพระเครื่องที่ต้องการ เมื่อนำพระที่กดลงในแม่พิมพ์ออกจากพิมพ์แล้ว
จึงนำพระมาเรียง แล้วผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง
ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท
คือ
1.1 พระที่ผ่านการเผา นับเป็นการสลายความชื้นและคงรูปวัตถุ ทำให้เกิดมวลสารของพระเครื่องเป็นแบบดินสุก
หรือดินสีหม้อใหม่ เช่นเดียวกับการทำภาชนะเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ
หากแต่ในสมัยโบราณ การเผาพระไม่มีเครื่องมือในการตรวจวัดอุณหภูมิความร้อนให้คงที่และสม่ำเสมอ จึงทำให้พระที่ผ่านการเผาออกมา
มีสีต่างๆกัน ตามระดับอุณหภูมิความร้อนสูงหรือต่ำที่ได้รับ
นอกจากนี้จากการค้นคว้าศึกษายังพบว่า
พระเครื่องที่ผ่านการเผายังมี 2 ลักษณะคือ
พระที่ผ่านการเผาเป็นเวลานานในอุณหภูมิความร้อนที่สูง กับพระที่ผ่านการเผาพอประมาณ
ใช้เวลาในการเผาไหม้ไม่นานนัก หรืออาจจะเรียกว่า ผ่านการอบให้แห้ง
โดยมวลสารคายความชื้นออก เพื่อความยึดติดเข้ารูป เป็นเหตุให้พระออกมามีหลายสี แต่คงไว้ซึ่งมวลสารส่วนผสมปรากฏเห็นชัดเจนกว่าพระที่ผ่านการเผาครบขบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาที่มีผลให้มวลสารบางชนิดถูกเผาไหม้ไป ซึ่งตัวอย่างของพระที่ผ่านการเผาทั้ง
2 ลักษณะ มีดังนี้
พระที่ผ่านการเผาจนครบขั้นตอน
ได้แก่ พระรอด พระนางพญา พระกรุทุ่งเศรษฐี พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
เป็นต้น
พระที่ผ่านการอบให้แห้ง
ได้แก่ พระผงสุพรรณ พระซุ้มกอดำ เป็นต้น
1.2 พระที่ผ่านการตากแดดให้แห้ง พระประเภทนี้เราเรียกว่า “พระดินดิบ” ซึ่งหมายถึง มวลสารถูกแยกน้ำออก
ด้วยวิธีการตากแดดให้แห้ง ความแข็งแกร่งคงทนจะน้อยกว่าพระที่ผ่านการเผา ดินจะสามารถละลายตัวหากนำมาแช่น้ำทิ้งไว้ พระเนื้อดินดิบ ได้แก่ พระเครื่องศิลปะศรีวิชัยที่พบทางใต้
เช่น พระเม็ดกระดุม เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบว่าในพระเนื้อดินมวลสารหรือเนื้อของดินได้สามารถแบ่งออกเป็น
2 ลักษณะ คือ
ก. ประเภทเนื้อละเอียด หมายถึง ก่อนที่จะนำดินมาผสมกับมวลสารอื่นๆ ดินที่นำมาสร้างพระนั้นได้ผ่านการร่อนกรองจนละเอียดแล้ว พระที่สร้างออกมาจึงมีความนวลเนียนของพื้นผิว
เช่น พระกำแพงกลีบบัว พระกำแพงซุ้มยอ พระกำแพงทุ่งเศรษฐี เป็นต้น
ข. ประเภทเนื้อหยาบ หมายถึง ดินที่นำมาสร้างพระ
ได้ผ่านการร่อนกรองมาแล้วแต่ไม่มากจนได้เนื้อดินละเอียด ยังคงปรากฏมีเม็ดแร่ กรวด
ทราย ปะปนอยู่ด้วย มองเห็นชัดเจน เช่น พระชุดขุนแผนบ้านกร่าง เป็นต้น
2. การสร้างพระเนื้อชิน
พระเนื้อชินถือเป็นพระเนื้อโลหะประเภทหนึ่งที่เกิดจากการผสมผสานของแร่หลัก 2 ชนิด คือ ดีบุก กับตะกั่ว
เกิดเป็นโลหะเจือชนิดใหม่ที่เรียกว่า “เนื้อชิน” หากเรามองลึกลงไปถึงคุณสมบัติของธาตุหลักทั้ง
2 ชนิด คือ
ดีบุก เป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดประเภทหนึ่งในประเทศไทย สามารถแยกหาดีบุกออกจากสิ่งปะปนได้อย่างง่ายๆด้วยวิธีแรงโน้มถ่วง
โดยการร่อนแร่ ซึ่งกระทำได้ไม่ยุ่งยาก
หากต้องการ ดีบุกที่บริสุทธิ์มากขึ้น ก็สามารถนำไปย่างเพื่อขจัดซัลไฟด์
หรือธาตุที่แผงอยู่ในดีบุก
ดีบุก เป็นธาตุที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ
ที่อุณหภูมิ 231.9 องศา
แปรรูปง่าย เกิดโลหะเจือกับโลหะได้หลายชนิด ทำให้คุณสมบัติของโลหะใหม่มีอานุภาพป้องกันการผุกร่อนได้ นอกจากนี้ยังนำไฟฟ้าต่ำ
ตะกั่ว เป็นแร่ธาตุที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์ตั่งแต่สมัยโบราณ มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์รู้จักนำตะกั่วมาใช้ทำประโยชน์ตั้งแต่
4000 ปีก่อนคริสตกาล รวมวิธีการถลุง
ตะกั่วไม่ยุ่งยาก เพียงผ่านขบวนการเผา
ตะกั่ว เป็นธาตุที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ
ที่อุณหภูมิ 327 องศา
มีน้ำหนัก นับเป็นโลหะอ่อนมีแรงตึง หรือ แรงรองรับต่ำ โลหะตะกั่วจึงไม่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องรับน้ำหนักมากๆ แต่ความอ่อนตัวของตะกั่วมีประโยชน์ที่ทำให้โลหะผสมสามารถแปรรูปได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะทำให้เป็นแผ่นบางๆ
หรือนำโลหะผสมให้สามารถแทรกซอนไปตามความลึกของแม่พิมพ์ ก่อให้เกิดลวดลายงดงามตามจินตนาการของช่างได้
นอกจากนี้ ยังนำไฟฟ้าต่ำ
จากคุณสมบัติของธาตุทั้งสองชนิดดังกล่าว เราจะพบว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมในการนำมาหลอมรวมกันเป็นโลหะใหม่ ที่มีจุดหลอมเหลวต่ำทั้งคู่
สามารถกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้ มีความอ่อนนิ่มที่สามารถจับรายละเอียดแม้เพียงบางเบาเล็กน้อยของแม่พิมพ์ได้ แม้รูปทรงจะมีความบางเรียบแบน
ก็สามารถขึ้นรูปได้ ทั้งทนทานต่อความผุกร่อน และมีความนำไฟฟ้าต่ำ
ทำให้ปลอดภัยเมื่อนำพกติดตัว
เนื้อชิน จึงนับเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติพิเศษ
ลงตัว เหมาะสมที่จะนำมาสร้างพระเครื่องได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนไทยอันชาญฉลาดและลึกล้ำในการสร้างพระเนื้อชิน เพื่อสืบทอดพระศาสนาและศิลปวัฒนธรรมอันดีงามยิ่งใหญ่ ในรูปแบบของพระเครื่องตกทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง พระเนื้อชินมี
3 ประเภทคือ
2.1 พระเนื้อชินเงิน คือพระที่มีส่วนผสมของดีบุกมาก
พระที่พบจะมีสีเงินยวงจับองค์พระอย่างงดงาม พระเนื้อชินเงินนี้จะปรากฏลักษณะตามธรรมชาติในรูปของเกล็ดกระดี่ และสนิมตีนกา ตามองค์พระ
เช่น พระหูยาน ลพบุรี พระนาคปรก วัดปืน เป็นต้น
2.2 พระเนื้อชินสนิมแดง คือพระที่มีส่วนผสมของตะกั่วมาก
พระที่พบจะมีลักษณะคล้ายพระชินเงิน แต่มีไขสนิมแซม ตามซอกพระ เช่น พระมเหศวร
พระสุพรรณหลังผาน พระลีลากำแพงขาว เป็นต้น
2.3 พระเนื้อตะกั่วสนิมแดง ถือเป้นพระเครื่องประเภทเนื้อชิน
ที่มีส่วนผสมของตะกั่วมากที่สุดถึง 90% พระที่พบจึงมีสีแดงของสนิมตะกั่วจับอยู่ในเนื้อพระเป็นสีแดง
ที่เรียกว่า “แดงลูกหว้า” ตัวอย่างเช่น
พระร่วงหลังลายผ้า-พระร่วงหลังรางปืน พระท่ากระดาน และพระร่วงพิมพ์ต่างๆ
เป็นต้น
กรรมวิธีการสร้างพระเนื้อชิน ถือเป็นการหลอมเหลวรวมแร่ธาตุสำคัญดังที่กล่าวข้างต้น ข้อสำคัญคือมีการแกะแม่พิมพ์ให้งดงาม
อลังการ ตามจินตนาการของช่าง พระที่พบส่วนมากจะเป็นศิลปะสกุลช่างหลวง
เพราะแม้ว่า พระเนื้อชินจัดเป็นพระที่ไม่ยุ่งยากในการสร้าง หากในสมัยโบราณกรรมวิธีนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการและอาศัยแรงคนจัดทำมิใช่น้อย ดังนั้นผู้ที่สามารถสร้างพระเนื้อชินได้
จะต้องดำรงตำแหน่งอยู่ในชั้นเจ้านาย หรือระดับผู้นำ ที่สามารถสั่งบัญชาการได้ จึงถือว่าพระเนื้อชินเป็นพระเครื่องชั้นสูงมาแต่โบราณ
ประการสำคัญ การพบพระเนื้อชินส่วนมากจะพบในกรุตามโบราณสถานสำคัญ ซึ่งถือเป็นเรื่องยากที่สามัญชนจะกระทำการได้
พระเนื้อชิน นับว่าเป็นพระเครื่องที่มีบทบาทสูง เป็นที่ครองใจผู้คนมานานนับแต่โบราณความยึดถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระเนื้อชินนั้นเป็นรากลึกในจิตใจ ทั้งยังปรากฏเห็นผลให้เล่าขานเลื่องลือตกทอดอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้พระเนื้อชิน ถือเป็น “อมตพระเครื่องยอดนิยมตลอดกาล”
3. การสร้างพระเนื้อผง
ถือเป็นขบวนการหนึ่งในศาสตร์ศิลปแขนงวิชาการปั้นปูน ซึ่งมวลสารในการปั้นมีส่วนผสมของปูนเป็นหลักใหญ่ประสานเนื้อด้วยยางไม้
กาวหนัง น้ำอ้อยหรือขี้ผึ้งชั้นดี และเป็นวิทยาการที่ศิลปินกรีก-โรมันกับอินเดียดึกดำบรรพ์ได้ใช้ปั้นพระพุทธรูปก่อนที่มีการนำกรรมวิธีนี้มาใช้ในการสร้างพระเครื่อง
พระเครื่องเนื้อผง ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในประเทศคือ พระกรุวัดทัพข้าว
จังหวัดสุโขทัย รองลงมาคือ พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ สร้างโดย สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 หรือที่รู้จักกันในนาม พระสังฆราชสุกไก่เถื่อน
และพระสมเด็จอรหังนี้ถือเป็นต้นแบบในการสร้างพระเนื้อผง รูปทรงสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก
ซึ่งสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ.2360
สมเด็จพระสังฆราชสุก
(ไก่เถื่อน) นี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พรหมรังสี) เคารพเป็นอย่างยิ่ง และถือเอาวัตรปฏิบัติ ตลอดจนวิธีการสร้างพระขององค์พระอาจารย์องค์นี้มาสร้างสมเด็จวัดระฆัง พระสมเด็จบางขุนพรหม
และพระสมเด็จเกศไชโย อันนับเป็นพระเนื้อผงที่ได้รับความศรัทธานิยมสูงสุดมาโดยตลอด ดังนั้นขั้นตอนกรรมวิธีการสร้างพระเนื้อผงในลำดับต่อๆมา จึงได้ยึดเอาขั้นตอนกรรมวิธี
การจัดเตรียม การสร้าง และการปลุกเสก ตามอย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต
พรหมรังสี) เป็นปัจจัยหลักปฏิบัติ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
1. การจัดเตรียมวัสดุ เป็นที่ทราบกันดีว่ามวลสารหลักในพระเนื้อผงก็คือ
ผงปูนขาว ซึ่งโบราณจะใช้เปลือกหอยมาเผาไฟ
แล้วบดให้ละเอียด เรียกว่า “ผงปูนเปลือกหอย” ซึ่งมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกัน
เมื่อได้มวลสารหลัก
ก็จัดเตรียมผงที่เป็นมงคลต่างๆ อาทิเช่น ว่านดอกไม้ แร่ทรายเงิน ทรายทอง
วัสดุศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคลทั้งหลายที่เห็นสมควรนำมาเป็นส่วนผสมนำมาบดเป็นผง
เป็นต้น
สิ่งที่ช่วยประสานเนื้อผง
และทัพสัมภาระทั้งหลาย ให้เกาะติดเป็นเนื้อเดียวกันในสมัยโบราณจะใช้กล้วยน้ำ
และน้ำมันตังอิ๊ว (กล้วยน้ำเป็นคำโบราณ
= กล้วยน้ำว้า , น้ำมันตังอิ๊วเป็นยางไม้ชนิดหนึ่งผสมกับน้ำมัน
ทำให้เกิดความเหนี่ยว)
2. การสร้าง จากสูตรการสร้างพระเนื้อผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต) พรหมรังสี (ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้าง
“สูตรนิยม” หรือ “สูตรครู” ในการสร้างพระเนื้อผงต่อๆมา)
และในมวลสารของพระเครื่องที่สมเด็จโตสร้าง ท่านให้ความสำคัญกับธาตุแท้แห่งคุณวิเศษ
คือ ผงวิเศษ 5 ประการ
อันประกอบด้วย ผงปถมัง
อิธเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสิงเห ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นชื่อของผงแต่ละชนิดแล้วนำมารวมผสมคลุกเคล้ากัน หากแต่เป็นผงชุดเดียวกันที่ผ่านกรรมวิธีซับซ้อนถึง
5 ขั้นตอนในการสร้าง โดยเริ่มต้นที่การสร้างผงปถมังก่อน
แล้วเอาผงปถมังนั้นมาทำเป็นผงอิธะเจ แล้วสร้างต่อเนื่องจากผงเดิมจนครบกระบวนการทั้ง
5 อันนับเป็นภูมิปัญญาและสมบัติล้ำค่าต่อมวลมนุษยชาติสืบมา
ได้รับรู้ ศึกษากรรมวิธี และนำเป็นต้นแบบที่ดีในการสร้างวัตถุมงคลเนื้อผง
ขั้นตอนการทำผงวิเศษทั้ง
5 กระบวนการ
ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
1) การสักการะบูรพาจารย์ นับเป็นประเพณีในการศึกษาทธาคมมาแต่ครั้งโบราณ ที่ผู้ศึกษาจะต้องทำพิธีสักการบูรพาจารย์ก่อนกระทำการใดๆ
เพื่อความเป็นสิริมงคล และรับการประสิทธิ์ประสาทวิทยาคม
โดยผู้ทำพิธีต้องทำตนให้สะอาด เป็นฆราวาสให้นุ่งขาวห่มขาว
ทำจิตใจให้ผ่องใส และรับสมาทานเบญจศีลเสียก่อน เป็นพระภิกษุให้ทำสมาธิจนจิตนิ่งสงบ
ผ่องใส แล้วตั้งเครื่องสักการะ
บูชาครูอาจารย์
อันประกอบไปด้วย
ดอกไม้ 9 สี ธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม บายศรีปากชาม
ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว มะพร้าวอ่อน
กล้วยน้ำไทย (กล้วยน้ำว้า) ผลไม้ 9 สิ่ง หัวหมู เป็ด ไก่ ปลาช่อนนิ่งทั้งตัวไม่ขอดเกล็ด
ถั่วคั่ว งาคั่ว ข้าวตอก นม เนย ขันล้างหน้า ผ้าขาว ผ้าแดง เงินค่าบำรุงครู 6 บาท
จากนั้นให้บูชาพระรัตนตรัย
แล้วร่ายโองการ (บทสวดบูชาคุณพระรัตนตรัย ต่อด้วยบทอัญเชิญทวยเทพ บทอัญเชิญครู
โองการสรรเสริญครู โองการชุมนุมครู) เมื่อเสร็จพิธีคำนับครู
ก็เริ่มเข้าสู่การเรียกสูตรต่างๆ
2.) การเรียกสูตร คือ การฝึกหัดเขียน
อักขระ เลข ยันต์
นานาประเภท อันประกอบด้วย การบริกรรมสูตรพระคาถาต่างๆ ตามจังหวะของการเขียนอักระเลขยันต์นั้นๆด้วย “ดินสอผงวิเศษ”
“ดินสอผงวิเศษ” สร้างจากส่วนผสมของเครื่องเคราต่างๆอันประกอบด้วย
-ดินโป่ง 7 โป่ง (ดินที่มีเกลือสินเธาว์ผุดเกรอะกรัง
มีพบอยู่ตามป่าทั่วไป ในที่นี้ให้นำดินโป่ง
7 แห่ง)
-ดินตีนท่า 7 ตีนท่า (ดินจากท่าน้ำ 7 แห่ง)
-ดินหลักเมือง 7 หลักเมือง (ดินจากหลักเมือง
7 เมือง)
-ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานในพระอุโบสถ
-ดอกกาหลง
-ยอดสวาท
-ยอดรักซ้อน
-ขี้ไคลเสมา
(คราบไคลดินบนแผ่นเสมาที่แสดงขอบเขตของโบสถ์)
-ขี้ไคลประตูวัง
-ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก
(คราบไคลดินจากเสาหลักคู่ สำหรับล่ามช้างเผือก)
-ราชพฤกษ์ (ไม้ต้นราชพฤกษ์ตากแห้งป่นเป็นผง)
-ชัยพฤกษ์
-พลูร่วมใจ (ต้นพลูที่ใช้กินกับหมาก
ขึ้นเป็นดง เป็นกอ บางครั้งจึงเรียกว่า “พลูร่วมใจ” เพราะจะขึ้นพร้อมๆกัน
ไม่ใช้ที่ขึ้นแยกต้น แยกกอ)
-พลูสองหาง (ในบรรดาใบพลู
จะมีบางต้นที่น้อยมาก ปรากฏปลายใบแยกเป็น 2 แฉก)
-กระแจะตะนาว (ชื่อต้นไม้ขนาดเล็ก
ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ต้นและกิ่งมีหนาม เปลือกขรุขระสีเทา
ดอกเล็กสีขาวเป็นช่อสั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ท่อนไม้ใช้ฝนกับน้ำเป็นเครื่องประทินผิว)
น้ำมันเจ็ดรส
(น้ำมันที่ได้จากของ 7 ประเภท
จะเป็นพืชหรือสัตว์ก็ได้ ยิ่งหายากยิ่งดี
-ดินสอพอง
เอาส่วนผสมทั้งหมดมา
ผสมกันแล้วบดให้ละเอียด เจือน้ำ ปั้นเป็นแท่งดินสอ
3. การปลุกเสก เมื่อได้ดินสอผงวิเศษ
ซึ่งต้องเตรียมการไว้แล้ว ก็จะเข้าสู่การทำกรรมวิธีสร้างผงวิเศษ
ที่จะต้องกระทำในพระอุโบสถ โดยเตรียมเครื่องสักการะ
เช่นเดียวกับการคำนับครู โดยตั้งของต่างๆไว้เบื้องหน้าพระประธาน
จุดธูปเทียนบูชาพระ ยกถาดบรรจุสิ่งของเหล่านั้นขึ้น
แล้วกล่าวคาถาอัญเชิญครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา ทำประสะน้ำมนต์(ชำระล้างตัวให้สะอาดแล้วเอาน้ำมนต์ราดชำระให้ทั่วร่างกาย)
พรหมตัว เรียกอักขระเข้าตัว(การเรียก
หรือสวดมหาพุทธมนต์ต่างๆให้มาสถิต ประสิทธิ์กับตัวเอง)และอัญเชิญครูเข้าตัว
|
วิวัฒนาการของการจำแนกพิมพ์
ยุคที่
1 ยุคโบราณจากบันทึกของศาสตราจารย์
ยอร์ช เซเดย์
กล่าวไว้ว่า “พระพิมพ์ที่พบในพระราชอาณาจักรสยาม อาจแบ่งออกได้เป็นหลายหมวดด้วยกัน ตามที่สืบสวนได้จากพระราชพงศาวดารสยามดังนี้”
หมวดที่
1 แบบพระปฐม
ราวๆ พ.ศ. 950-1250
หมวดที่
2 แบบถ้ำแหลมมลายู
ราวๆ พ.ศ. 1450-1550
หมวดที่
3 แบบขอม
จะสมัยเดียวกันกับถ้ำมลายูหรือใหม่กว่าสักเล็กน้อย
หมวดที่
4 แบบสุโขทัย
ราวๆ พ.ศ. 1750-1950 โดยมากเป็นพระพุทธรูปเดินหรือที่เรียกกันว่า
พระลีลา
หมวดที่
5 แบบอยุธยา
หลัง 1950 เป็นแบบที่ทำขึ้นใหม่ ตามธรรมดามักเป็นรูปพระพุทธเจ้ามีท่าตามปางต่างๆ อยู่ภายในซุ้มเล็กๆชนิดหนึ่งเรียกกันว่า “เรือนแก้ว”
หมวดที่
6 พระเครื่องต่างๆ
ซึ่งแบ่งเป็น 6 แบบ
พระพิมพ์แบบพระปฐม แบ่งได้เป็น 2 ชนิด พิจารณาตามสมัยทั้ง 2 ชนิดนี้เก่ามากเป็นฝีมือช่างชาวอินเดียวในรัชสมัยพระเจ้าคุปตะ
(ราว พ.ศ. 900-1200) ซึ่งพบมากในถ้ำ
พระพิมพ์แบบถ้ำแหลมมลายู เป็นพระพิมพ์ต่างๆที่พบได้เป็นจำนวนมากตามถ้ำทั้งหลายในแหลมมลายู พระพิมพ์เหล่านี้เป็นดินดิบหรือดินเหนียวสุก
พระพิมพ์ของแหลมมลายูบางชนิดลักษณะเหมือนกับรูปสลักที่สร้างขึ้นในเมืองระหว่างอินเดียกับชวา เพราะอาณาจักรศรีวิชัยซึ่งมีราชธานีอยู่ที่เมืองปาเลบังในเกาะสุมาตรานั้น
เมื่อ พ.ศ.1150-1750 ได้แผ่อาณาเขตไปถึงฝั่งบนแหลมมลายูและทางทิศเหนือจนถึงเมืองไชยา รูปพระโพธิสัตว์อันสวยงามซึ่ง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้พบที่เมืองไชยานั้นเป็นฝีมือช่างอันวิจิตรของอาณาจักรศรีวิชัย
และพระพิมพ์แบบที่ 2 นี้
จัดว่าเป็นฝีมืออย่างดีที่สุดของอาณาจักรนั้นเป็นส่วนมากเหมือนกัน
พระพิมพ์แบบขอม เครื่องแต่งกายและรูปพรรณมีลักษณะ คล้ายกับรูปสลักของขอมโบราณมักพบเห็นกันมากตัวอย่างเช่น
พระพิมพ์ในสมัยลพบุรี ผู้ที่ได้เห็นรูปสลักโบราณ
หรือจารึกของขอมแล้ว ย่อมจะทราบได้ดีทีเดียวว่า พระพิมพ์นี้มีรูปสลัก 3 องค์ประกอบกัน คือ
พระพุทธเจ้าประทับนั่งบนนาค 1 องค์ เทวดาสี่หน้า 1 องค์ สตรี 1 องค์ พระเครื่องศิลปลพบุรีนี้จะพบได้ตามจารึกในพุทธศาสนาของขอมโบราณเป็นส่วนมาก
พระพิมพ์แบบสุโขทัย โดยมากเป็นพระปางลีลา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแต่พิมพ์เท่านั้น
แม้พระพุทธรูปหล่อ และรูปแกะสลักอื่นๆ ก็เป็นพระสีลาเช่นกัน
ความนิยมของช่างไทยในการทำรูปของพระพุทธเจ้าปางลีลา หรือเดินนั้น เห็นจะไม่ใช่เหตุบังเอิญ
คือในช่วงปี 1750-1850 อาณาจักรไทยเป็นชาติที่กำลังขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวาง โดยได้ปราบปรามประเทศที่อยู่ในดินแดนระหว่างอินเดียกับจีนตอนกลางให้อยู่ในอำนาจเป็นประเทศราช ในสมัยสุโขทัยไทยได้ขับไล่พวกขอมออกไปจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งได้นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในประเทศเหล่านั้น เช่นเดียวกับไทยที่เชียงแสนและเชียงราย ก็ได้ขับไล่พวกมอญออกไปจากลุ่มแม่น้ำปิง อาณาจักรสุโขทัยรัชสมัยพระเจ้ารามคำแหงมหาราช และผู้สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระองค์ได้สร้างพระพุทธรูปลีลาขึ้นเป็นจำนวนมากมายเกินที่จะนับ เช่นเดียวกับพระเจ้ามังรายมหาราชซึ่งมีชัยชนะพระเจ้ามอญที่เมืองลำพูนแล้ว และสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น
ก็ได้ทรงหล่อรูปพระลีลาขึ้นมากเช่นกัน
พระพิมพ์ต่อจากสมัยอยุธยาลงมานั้น คือพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นภายหลัง พ.ศ.1950 พระพิมพ์รุ่นนี้ นับว่ามีคุณค่าไม่น้อยกว่าพระพิมพ์รุ่นก่อนๆ เนื่องจากเป็นของที่มีคุณค่าทางวิชาช่างเป็นอย่างมาก พุทธลักษณะเป็นพระทรงเครื่องอยู่ภายใต้ซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งหมายถึงองค์พระพุทธเจ้าตามปางต่างๆ คือ
นั่งบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง นอนบ้าง โดยมากมักจะทำด้วยดิน ลงรักปิดทอง
พระพิมพ์ขนาดเล็ก ยังมีพระพิมพ์อีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ในประเภทพระเครื่องสมัยของพระพิมพ์ชนิดนี้เป็นการยากที่จะกำหนดให้แน่นอนลงได้
ยุคที่
2 ยุคเก่า เป็นช่วงเวลาต่อจากยุคโบราณที่เริ่มมีการแบ่งกลุ่มประเภทพระ จากประสบการณ์ในกรรมวิธีสร้างพระเครื่อง
ทำให้สามารถแยกพระเครื่องหรือพระพิมพ์ออกไปได้หลายลักษณะด้วยกัน ซึ่งสามารถสรุปการจำแนกเป็น 2 แนวทางด้วยกันคือ
1. การจำแนกตามประเภทวิธีช่าง
ซึ่งสามารถพิจารณาได้ 3 ลักษณะ
ดังนี้
1.1 แบ่งจากลักษณะการสร้าง จำแนกออกไปได้เป็น 3 ประเภท
พระพิมพ์แบบอัด
พระพิมพ์แบบหล่อ
พระพิมพ์แบบปั๊ม
1.2 แบ่งจากลักษณะความหนาของส่วนโค้งนูน
ปฏิมากรรมแบบแบนนูนสูง
ปฏิมากรรมแบบแบนกึ่งนูนสูง
ปฏิมากรรมแบบแบนนูนต่ำ
1.3 แบ่งลักษณะเนื้อวัสดุ จำแนกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
พระพิมพ์เนื้ออโลหะ
พระพิมพ์เนื้อโลหะ
2. การจำแนกตามประเภทคุณวิเศษ
สามารถพิจารณาได้ 2 ลักษณะคือ
2.1 ประเภทคุณวิเศษโดยทั่วไป จำแนกได้ 3 กลุ่ม คือ
พระเครื่องฯ ประเภทมหานิยม
พระเครื่องฯ ประเภทมหาอุตม์
พระเครื่องฯ
ประเภทนิรันตราย
2.2 ประเภทคุณวิเศษทางเนื้อวัตถุ
แบ่งตามลักษณะวัสดุที่สร้าง เป็น 3 กลุ่มคือ
พระเครื่องฯ เนื้อโลหะ
พระเครื่องฯ เนื้อดินเผา
พระเครื่องฯ เนื้อปูนปั้น
ยุคที่
3 ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การจำแนกพระในช่วงแรกของยุคหลัง ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมา
ยังคงเน้นในทางคุณวิเศษทางพุทธคุณ ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างถึงวิถีแนวทางของนักเล่นพระ
หรือ นักเลงพระรุ่นนี้
ซึ่งจำแนกพระออกเป็น พระดีทางคงพระพัน พระดีทางนิรันตราย พระดีทางเมตตามหานิยม พระดีทางแคล้วคลาด
ฯลฯ จนเกิดเป็นพุทธาคมที่เด่นของพระเครื่องมากมายสืบทอดมาจนทุกวันนี้โดยไม่สนใจในองค์ประกอบอื่นใดเลยในการจำแนก
ยุคที่
4 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
การสะสมพระได้ขยายตัวขึ้นมาก และเริ่มมีผู้รู้ผู้ชำนาญการเขียนตำราการศึกษษพระเครื่องขึ้นมา จึงทำให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง อาจารย์ตรี
ยัยปวาย เป็นผู้มีส่วนสำคัญท่านหนึ่งซึ่งทำให้เกิดแนวคิดนี้ขึ้น
อาจารย์ตรียัมประวาย
เป็นนักสะสมพระรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีกลุ่มนักสะสมด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นปรมาจารย์ของวงการพระในปัจจุบันทั้งสิ้น และท่านยังเป็นผู้กำหนดการจัดกลุ่มพระชุดเบญจภาคีขึ้นเป็นครั้งแรก โดยพิจารณาจากคุณค่า รูปทรง
ขนาดของพระเครื่องที่จะจัดขึ้นสร้อยไว้คล้องคอ เพื่อให้ดูสวยงามและเหมาะสม ทั้งค่านิยม
ความเก่าและคุณวิเศษ
จากจุดเริ่มที่มีการจัดพระชุดเบญจภาคีนี้เอง ก็เริ่มมีการจำแนกประเภทพระในหมู่นักสะสมยุคนั้น
ตามวัตถุดิบที่นำมาจัดสร้างพระ ดังนี้
1.พระชุดเบญจภาคี
2.พระชุดเนื้อดิน
3.พระชุดเนื้อชิน
4.พระชุดเนื้อผง
5.พระชุดเนื้อโลหะ
6.พระปิดตา
7.พระประเภทเหรียญ
8.เครื่องรางของขลัง
จนถึงช่วงปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมาก็ได้มีการจำแนกพระเครื่องเพิ่มเติมและชัดเจนขึ้น โดยเติมพระกริ่งและรูปหล่อขึ้น
หลังจากนั้นก็มีการเพิ่ม พระชุดหลวงปู่ทวดเข้ามา
ยุคปัจจุบันการจำแนกพระออกเป็นหมวดหมู่ยังคงใช้แนวตามเดิม เพียงแต่เพิ่มรายละเอียดเพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างข้างต้น
1.พระชุดเบญจภาคี
2.พระชุดเนื้อดิน
-พระเนื้อดินยอดนิยม
-พระเนื้อดินทั่วไป
3.พระชุดเนื้อชิน
-พระเนื้อชินชุดยอดขุนพล
-พระเนื้อชินทั่วไป
จะเห็นได้ว่าจำแนกพระมีความละเอียดชัดเจนมากขึ้น เข้าใจง่ายมากขึ้น
ความหมายพระพิมพ์
พระพิมพ์ เป็นคำที่ใช้เรียกซึ่งมีความหมายในทางโบราณคดี
บ่งบอกถึงลักษณะโดยทั่วไปของพระพุทธ ปฏิมากรรม ที่สร้างขึ้นมาด้วยการนำเอาเนื้อวัสดุที่เตรียมไว้มากดประทับลงในแม่พิมพ์ หรือถ้าเป็นเนื้อโลหะซึ่งหลอมละลายแล้ว
ก็นำมาเทหล่อเข้าไปในแม่พิมพ์ สำหรับแม่พิมพ์จะมีลักษณะแกะลึกลงไปในกรอบหิน
หรือวัตถุอื่นๆ
พระเครื่อง เป็นคำที่ใช้เรียกแทนคำว่า “พระศักรพุทธปฏิมา” ซึ่งเป็นนามที่ใช้เรียกในทางอิทธิฤทธิ์กฤตยาคม มิใช่การกำหนดความหมายในทางโบราณคดีโดยความเป็นจริงแล้ว “พระพิมพ์” หรือ “พระเครื่อง” ก็คือสิ่งเดียวกัน จากหลักฐานสำคัญ เช่น จารึกบนแผ่น
จารึกลานทองของกรุพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
จังหวัดสุพรรณบุรี และแผ่นจารึกลานเงินของกรุพระบรมธาตุเจดีย์นครชุม
จังหวัดกำแพงเพชร เป็นต้น ได้แสดงให้ทราบถึงพุทธาคม
กรรมวิธีในการสร้างพระเครื่อง ซึ่งเป็นมรดกตกทอดสืบสานมาถึงทุกวันนี้ จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าพระพิมพ์ทั้งหลายได้ผ่านกรรมวิธีบรรจุพุทธคุณวิทยาคาถา และพุทธปรมาภิเษกสำเร็จเป็น
พระศักรพุทธปฏิมาอันวิเศษแล้ว
ความจริงแล้วคำว่า “พระเครื่อง” เป็นคำใหม่ที่พึ่งประยุกต์ใช้กันมาไม่นาน เป็นคำที่เกิดขึ้นในช่วงสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อคราวที่พระองค์ทรงสั่งเครื่องจักรเพื่อมาผลิตเหรียญที่ระลึก
เหรียญกษาปณ์ และเหรียญพระคณาจารย์โบราณในยุคนั้น ผู้ที่ได้รับพระจึงเรียกกันตามความเข้าใจที่ง่ายและเหมาะสมในยุคนั้นว่า “พระเครื่อง” (หมายถึงพระที่ทำมาจากเครื่องจักร) ซึ่งนำไปสู่การเรียกพระขนาดเล็กที่สามารถพกพาได้ทั้งหมดทุกประเภทว่า “พระเครื่อง” จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
หากแต่จารึกในแผ่น ลานเงิน
ลานทอง ต่างๆ ยังคงใช้คำว่า “พระพิมพ์” และมีความหมายตรงกันคือการจำลองสิ่งเคารพอันเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา เพื่อสามารถนำมาสักการะเป็นการส่วนบุคคลแล้ว
ดังนั้นในปัจจุบันไม่ว่าจะเรียกว่า “พระพิมพ์” หรือ “พระเครื่อง” ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจตรงกัน ทั้งรูปสมบัติ
คุณสมบัติ และสรรพคุณ
เรื่องราวของพระพิมพ์นี้มีมาเป็นเวลายาวนาน นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วกว่า
100 ปี และมีวิวัฒนาการมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)